วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557


วันนี้มาแปล talk CD ที่เป็นของแถมจากอนิเมทนะคะ ขอบคุณปลื้มซังมากๆ ที่แบ่งปันค่ะ
ซีดีนี้ความยาวประมาณ 40 นาทีนะคะ ยาวมากจริงๆ ฟังไปยิ้มไป บ้าอยู่คนเดียว 555
เราแปลมาเต็มที่เท่าที่ฟังออกนะคะ บางส่วนเราก็ตัดๆ ออกไปบ้าง สรุปๆ บ้าง เดี๋ยวมันจะยาวเกิน
ถ้าแปลผิดพลาดยังไงก็ขออภัยไว้ตรงนี้ด้วยนะคะ พอดีกรี๊ดไปแปลไป สติแตก 555
 รูปประกอบบางส่วนที่นำมาใช้มาจาก ที่นี่ นะคะ

MC : JimuinG
Member : Rib, Soraru, minato, halyosy

JimuinG : สวัสดี ทุกคนใน talk CD ครับ ผมจิมุอินG เป็น MC ให้กับ talk CD ของอัลบั้ม compilation ทั้ง 2 แผ่น Upload feat. Vocalist กับ Download feat. Hatsune Miku  นะครับ มาแนะนำตัวทุกคนกันก่อนดีกว่า เริ่มจากมินาโตะซังครับ
- มินาโตะซังแนะนำตัว แล้วก็บอกว่าตัวเองมีชื่อเรียกเยอะ ทั้งมินาโตะ ทั้งทูไร
- แต่ที่เริ่มมาก็โดนแกล้งเลยคือริบุซัง เพราะแนะนำตัวได้เกร็งมาก เสียงเบา+เสียงต่ำมาก ทุกคนเลยแซวๆกันว่านี่ก็อัดครั้งที่ 2 แล้วนะ แต่ริบุซังก็บอกอย่างน้อยก็พูดชื่อออกไปได้น่า 555
- โซรารุซังก็แนะนำตัวตามปกติ บอกว่าตัวเองร้องเพลง ช่วงนี้เริ่มแต่งเพลงบ้าง และมิกซ์เพลงด้วย
- จีซังก็แซวว่า จบแล้วครับ มีทั้งหมด 3 คน ฮัลโยชี่ซังต้องโวยวายก่อนถึงได้แนะนำตัวเป็นคนสุดท้ายค่ะ 55 แล้วก็แนะนำว่าตัวเองเป็นอุไทเทะ+โวคาลอยด์พี
- ทูไรซังบอกว่าเพิ่งเคยได้เจอฮัลโยชี่ซังครั้งแรก
JimuinG : ทุกคนคงมีเพลงที่ตัวเองชอบในอัลบั้มใช่ไหมครับ แต่มินาโตะซังกับฮัลโยชี่ซังคงชอบเพลงของตัวเองอยู่แล้ว
ทุกคน : (หัวเราะ)
JimuinG : มินาโตะซังครั้งนี้ได้ร้อง SPICE! กับริบุคุงด้วย
minato/Rib : ครับ ร้องด้วยกัน
JimuinG : ได้ร้องด้วยกันด้วย สุดยอดเลย แต่เพลงนี้เนื้อเพลงมัน...
minato : ใช่ครับ เนื้อเพลงมันค่อนข้าง...
halyosy : เอ๊ะ นี่มันเรื่องอะไรกัน
Soraru : SPICE! หรือ magnet นะ
JimuinG : SPICE! ครับ
halyosy : อ้าว นี่มันต้อง magnet ไม่ใช่เหรอ
Rib : เดี๋ยวๆๆ ไปกันใหญ่แล้ว
minato :  จริงๆ มันก็ไม่ใช่เพลงแบบนั้น ผมคิดว่าไหนๆ ก็ได้ร้องด้วยกันแล้ว เพลงนี้ก็น่าจะร้องคู่ได้ด้วย แถมเป็นเพลงเก่า ฟังแล้วคงทำให้หลายๆ คนได้นึกถึงช่วงเวลานั้นได้ คนที่ไม่ได้รู้จักจะได้ลองฟังดูด้วย แล้วผมก็...เอ่อ ผม...ชอบเพลงที่ริบุซังร้องมากๆ ด้วย เลยอยากร้องด้วยครับ (หัวเราะเขิน) นี่ผมลิ้นพันกันไปหมดแล้ว
minato : ได้ยืนร้องในบูธเดียวกันด้วย ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยกัน
JimuinG : คนได้ฟังคงดีใจนะครับนั่น
Rib : (หัวเราะ) ตอนที่รู้ว่าได้ร้องด้วยกัน ก็เพิ่งจะได้เจอกันครั้งแรกนี่แหละครับ คิดในใจว่า "นี่มันทูไรซังที่ผมฟังมาตลอดจริงๆ เหรอ" ตอนอัดเสียงไปก็นึกไปว่า "อา นี่มันทูไรซังจริงๆ ด้วย"
minato : ขอบ คุณครับ พอได้อัดไปครั้งแรก ก็แบบ อ่า ความรู้สึกมันเป็นแบบนี้นี่เอง เรื่องมิกซ์ก็ได้คุยกันว่าตรงไหนควรทำยังไง คิดว่าเพลงนี้ออกมาดีแน่นอนครับ
JimuinG : สุดยอดไปเลยนะ
  
minato : ถ้าทุกคนได้ฟังคงจะดีนะครับ
JimuinG : จริงๆ สองคนนี้ก็เหมือนอยู่คนละยุคกันเลย เหมือนเป็นรุ่นพี่กับรุ่นน้องกัน
minato : ครับ ครับ (หัวเราะ) พอเถอะนะครับ
Soraru : คราวนี้ได้ยินมาว่ามินาโตะซังเป็นคนบอกว่าอยากร้องกับริบุ
minato : ตอนประกาศออกมาว่าจะทำอัลบั้มเลยคิดว่าถ้าได้ร้องด้วยกันคงจะดีนะ พอพูดออกไป ไม่คิดว่าจะได้ทำจริงๆ ตกใจอยู่เหมือนกันครับ
(แล้วก็เหมือนจีซังถามคำถามซ้ำกับอีกแผ่นที่อัดไปแล้ว ทุกคนก็แซวๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องแทน)
JimuinG : วันที่อัด talk CD นี้ก็เป็นวันที่ 11/11 พอดีเลย นี่วันอะไรนะ
minato : วันป๊อกกี้
Soraru : วันแบตเตอรี่
JimuinG : ยังไงนะ
Soraru : 10 กับ 1 ก็เป็น + กับ - ไง (ถ้าเขียนเป็นคันจิก็จะได้เป็น十一月十一日 เหมือน + กับ -)
JimuinG : แต่ไม่แฟร์เลยนะ วันนี้เหมือนวันที่อะไรๆ ก็ "ดี" ทุกอย่าง (11 เหมือน ii ที่แปลว่าดี)
Rib : เป็นวันที่จะทำอะไรก็ได้เลย
JimuinG : แต่วันที่ 11/22 ก็เหมือนวัน ii ribu เลยนะ (คันจิของเลข 2 ออกเสียงได้ทั้ง ni กับ fu)
ทุกคน : (ทำเสียงงึมงำ ไม่ค่อยแน่ใจ)
JimuinG : เอ๊ะ ไม่ได้หรอกเหรอ ขอโทษครับ
Rib : ไม่หรอกครับ ผมผิดเอง ชื่อผมไม่ดีเอง ถ้าชื่อ "นิบุ" คงจะพอได้ ขอโทษครับ จะเปลี่ยนชื่อเป็น "นิบุ" แล้วครับ
JimuinG : แต่จะว่าไปริบุคุงกับโซรารุคุงเคยไปเที่ยวเล่นกันบ้างไหม
Soraru : ไม่ครับ
JimuinG : เอ๊ะ ไม่เคยเลยเหรอ
Rib : ก็มีบ้างแหละครับ
Soraru : ก็นิดๆ หน่อยๆ
Rib : เอ๊ะ แต่ยังไงดีนะ ในใจผมนะ ในใจผมเลยนะ โซรารุซังเป็นคนที่ผมเที่ยวเล่นด้วยบ่อยที่สุดแล้ว
JimuinG : อ๋อ แต่โซรารุซังก็ไปเที่ยวกับหลายคนนี่นะ
Soraru : ก็เคยไปหลายครั้งแบบมีคนอื่นด้วย ถ้าไปสองคนไม่ค่อยได้มีโอกาสครับ จริงๆ ก็ไม่ได้ชวนกันเองแหละ
Rib : (หัวเราะ) ก็จริงครับ
JimuinG : ทั้งสองคนดูเหมือนไม่ใช่จะเป็นฝ่ายชวนใครบ่อยๆ แต่โซรารุซังก็ดูน่าจะชวนคนอื่นง่ายกว่าอยู่
Soraru : จริงๆ ทุกเดือนก็เจอกันหลายครั้งอยู่แล้วครับ
JimuinG : อย่างนี้นี่เอง แต่ถ้าบ่อยไป สำหรับผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเจอกัน
Soraru : เจอบ่อยๆ ก็มีแต่เรื่องเที่ยวใช่ไหมล่ะครับ แต่ก็ไม่ได้รู้จักกันเพื่อเป็นเพื่อนเที่ยวอะไรแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ใช่คนชอบเที่ยวอยู่แล้ว อะไรที่ไม่สนุกก็ไม่อยากทำ
JimuinG : แต่ถ้ามีคนบอกว่าให้ทำอะไรก็ดูเหมือนจะทำตามหรือเปล่า
Soraru : ถึงจะมีคนบอกให้ทำ แต่ถ้าดูไม่สนุกก็จะไม่ทำเหมือนกัน

JimuinG : แล้วมินาโตะซังล่ะครับ มีงานอดิเรกอะไรครับ
minato : (หัวเราะ) มาถามอะไรเหมือนนัดบอดแบบนี้ครับ
JimuinG :  ก็ผมไม่ได้คุยด้วยมาตั้งเกือบ 5 ปีนี่นา
minato : นานขนาดนั้นแล้วนะครับ
JimuinG :  ของที่เหลือ 3 คนก็พอรู้บ้างแล้ว แต่พอได้ยินว่ามินาโตะซังจะมาร่วมอัลบั้มนี้ด้วยก็ตกใจอยู่เหมือนกันเลยอยากรู้น่ะครับ
ทุกคน : ใช่ๆ แปลกใจมากเลย
JimuinG :  ตอนได้ยินครั้งแรกยังคิดเลยว่านี่เราหูฝาดไปหรือเปล่า
Soraru : เคยเห็นประกาศข่าวอัลบั้มในทวิตเตอร์บ่อยๆ นะครับ แต่ไม่เคยได้มีโอกาสมาร่วมงานกันแบบนี้
minato : ขอโทษครับ ในเน็ตก็ฮิคิโคโมริ ชีวิตจริงก็ฮิคิโคโมริแบบนี้ (หัวเราะ) ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย (หัวเราะ)
Soraru : นึกว่าที่หายๆ ไปเพราะมีงานยุ่ง ไม่คิดว่าจะฮิคิโคโมริอย่างเคร่งครัดขนาดนี้
ทุกคน : (หัวเราะ)
Soraru : ผมก็อยากฮิคิโคโมริอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ต้องมีอะไรให้ทำอยู่ดี
JimuinG :  สถานการณ์ไม่เอื้อเลย
Soraru : ใช่ครับ ผมเลยรู้สึกนับถือมินาโตะซังในฐานะรุ่นพี่ฮิคิโคโมริ
minato : กลายเป็นว่างานอดิเรกผมเป็นฮิคิโคโมริไปแล้ว (หัวเราะ)
JimuinG : เหมือนเป็นเรื่องไม่ค่อยดีเท่าไร แต่คนในนิโกะนิโกะส่วนมากก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนอยู่แล้ว
minato : ไม่ใช่ว่าไม่มีคนชวนนะครับ แต่เป็นคนปฏิเสธเองมากกว่า ก็รู้ว่านั่งรอเฉยๆ ตลอดไปคงไม่ได้ บางทีก็ต้องออกปากชวนบ้างเหมือนกัน
minato : แต่อยู่บ้านผมก็เล่นแต่เกมออนไลน์น่ะครับ
Soraru : นี่ฮิกกี้ของจริงเลยนะเนี่ย
minato : ถ้าออกไปข้างนอกจะรู้สึกเหมือนโดนดูดพลังออกไป
-------------------------------
JimuinG : ครั้งนี้ได้ทั้งนักแต่งเพลง ทั้งอุไทเทะมาทำงานร่วมกัน นี่เหมือนกับ connecting กันจริงๆ
halyosy : จนถึงตอนนี้นี่ลืมไปเลยว่าอัด talk CD กันอยู่ (หัวเราะ)
JimuinG : งั้นกลับมากันเถอะครับ พูดถึง Connecting  ที่คิดว่าอยากสร้างเป็นเพลง theme ครั้งนี้ เริ่มคิดทำจากอะไรก่อน อย่างชื่ออัลบั้มอะไรแบบนี้
halyosy : ชื่ออัลบั้มเป็น inspiration แต่ก่อนของผม Upload กับ Download , Vocaloid กับ Utaite เชื่อมโยงกัน แล้วก็เริ่มเลือกเพลงที่พอจะเชื่อมกันได้ทั้งสองอัลบั้ม
JimuinG : เพลง Connecting  เริ่มแต่งจากเนื้อเพลงหรือทำนองก่อนครับ 
halyosy : ครั้งนี้แยกกันน่ะครับ แล้วค่อยมารวมกันทีหลังน่ะครับ แล้วผมก็มีเรื่องที่อยากบอกทุกคนมาตลอด ที่มาถึงทุกวันนี้ได้ก็โวคาลอยด์พีมาก็นาน เป็นอุไทเทะมาก็นาน อยากจะบอกอะไรออกไปบ้างแต่ไม่มีโอกาสให้ทุกคนได้ฟังเสียที ครั้งนี้เลยถือโอกาสแต่งเพลงนี้ออกมา
JimuinG : มีคนชมเยอะมากเลยนะครับ
halyosy : ทำไงดี เดี๋ยวก็เชื่อหรอกครับ
JimuinG : ทำไมถึงทำอะไรแบบนั้นออกมาได้ กินอะไรเหรอครับ
Soraru : (พยายามจะชมว่าฮัลโยชี่ซังปรับเสียงโวคาลอยด์ดี แต่พูดอะไรที่ดูเหมือนคนอื่นจะฟังไม่เข้าใจ)
Rib : อ๋อ ผมเข้าใจที่จะสื่อแล้วครับ (แล้วริบุซังก็อธิบาย คนอื่นถึงจะเข้าใจ)


JimuinG : แล้ว SPICE! ต้องปรับการร้องยังไงบ้างไหมครับ
Rib : ได้ร้องกับคนแต่งเพลงอย่างมินาโตะซังอย่างนี้ ก็มีการคุยเพื่อปรับอิมเมจให้จูนกันก่อนครับ
Soraru : จูนกันแล้วเหรอ 
halyosy : จูนกันแล้วเหรอ
JimuinG : ช่วยเงียบๆ ได้ไหมเนี่ย
ทุกคน : (หัวเราะ)
Rib : กำลังพูดจริงจังอยู่แล้วถูกล้อเล่นแบบนี้ จะให้คิดยังไงครับเนี่ย เสียใจนะครับ
minato : มาจริงจังกันทีเถอะครับ
Soraru : แต่คนเริ่มคือจิมูอินซังไม่ใช่เหรอ
JimuinG : ผมไม่เกี่ยวนะ 
Rib : พอเถอะนะ โซรารุพอเถอะนะ
JimuinG : ทั้งสองคนได้เข้าบูธเดียวกัน ร้องเพลงด้วยกัน มีบ้างไหมที่ได้แนะนำกันว่าทำแบบนี้ดีกว่านะ
Rib : จริงๆ ก็เข้าไปอัดทีละคนแหละครับ ตอนผมร้อง มินาโตะซังก็ช่วยแนะนำ ตอนมินาโตะซังร้อง ก็กลับออกมาฟังที่อัดไปด้วยกันอีกที แล้วปรับๆกัน
minato : แต่ว่าส่วนใหญ่ก็ร้องอิสระเลยนะครับ
Soraru : ส่วนใหญ่อุไทเทะก็มีแนวทางการร้องของตัวเองอยู่แล้วด้วย
minato : ไม่ค่อยมีหรอกครับที่อยากให้เป็นแบบนี้หรือต้องเป็นแบบนี้ๆ เท่านั้นนะ มีแค่ประมาณให้ร้องยืดเสียงออกไปอีกหน่อย อยากให้ร้องไปด้วยกันได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างร้องมากกว่า จะได้จูนกันได้ครับ (หัวเราะ)
Rib : ครับ เหมือนอย่างตอน outro
minato : โอ้ ตรงนั้นน่าสนใจมากครับ ลองฟังดูนะ
----------------------------------
JimuinG : มีเครื่องดื่มอะไรที่ชอบไหม
Rib : ของผม Irohasu
JimuinG : มินาโตะซัง เวลาไปซื้อของมักจะซื้ออะไรเหรอครับ
minato : อะไรก็ได้นะครับ แต่ถ้ามีของออกใหม่ก็จะซื้อเลยครับ
Rib : อย่างขนมออกใหม่ อะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
minato : ใช่ครับ เวลาเห็นอะไรออกใหม่แล้วไม่มีนี่ไม่หงุดหงิดเหรอ
ทุกคน : น่ากลัวจัง
Rib : ผมก็เหมือนกันครับ รู้สึกว่าถ้าไม่ได้ลองจะให้อภัยไม่ได้ ผมเข้าใจสุดๆ เลยนะ ถ้าไปร้านสะดวกซื้อรับรองไม่มีไอติมไหนที่ผมยังไม่เคยลอง
ทุกคน : โห สุดยอด
Soraru : ส่วนผมมีเครื่องกดน้ำที่บ้าน
JimuinG : เคยเห็นที่บ้านโซรารุคุงอยู่เหมือนกัน สะดวกดีนะ ได้น้ำอุ่นด้วย
Rib : ไอ้นั่นใช้อุ่นอะไรก็ได้เหรอ
JimuinG : น้ำอุ่นนะ
Rib : ใช้ไอ้ที่ใส่ถังน้ำใหญ่ๆ ไว้ข้างบนหรือเปล่า
JimuinG : ใช่ๆ
Rib : ทำไมถึงมีน้ำอุ่นออกมาได้ล่ะ
JimuinG : มีเครื่องทำน้ำอุ่นอยู่ข้างใต้ไง
Soraru : ซื้อซุปซื้ออะไรมาจากซุปเปอร์ก็ใช้ได้ด้วย



JimuinG : โซรารุซังครั้งนี้ก็มีเพลงใหม่ด้วย ช่วยพูดถึงให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ
Soraru : ครั้งนี้ร้อง Renai saiban ส่วน Oshiete! Wikipedian ร้องกับลอน
JimuinG : ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันหรือเปล่า
Soraru : ก็ยังได้ร้องเพลงด้วยกันอยู่บ้าง เคยร้องเพลง Rimokon ของ Jesus ซังอยู่เหมือนกัน ร้องค่อนข้างยากอยู่ ส่วน Oshiete! Wikipedian ก็ จะพูดยังไงดีล่ะ เป็นเพลงที่สมกับเป็น Jesus ซังมาก ร้องกับลอนก็น่าสนุกดี แถมผมได้มีโอกาสมิกซ์เองด้วย เลยปรับนู่ปรับนี่ดู ผมไม่เคยเจอกับลอน ต่างคนต่างฮิคิโคโมริอยู่ที่บ้าน
JimuinG : แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นลอนซังพูดตัวเป็นๆ เลยนะ น่าจะมีแค่โซรารุคุงนะ
Rib : แต่โซรารุซังก็ยังไม่เคยเจอตัวจริงเหมือนกัน
Soraru : สมัยร้อง Rimokon ด้วยกัน ก็พอจะรู้ว่าลอนจะร้องยังไง ถึงไม่เคยเจอกันก็ไม่มีปัญหา
JimuinG : มินาโตะซังครับ มีพาร์ทเนอร์หรือคนที่ทำงานด้วยกันบ้างไหม
minato : ส่วนใหญ่ทำงานคนเดียวมากกว่าครับ
JimuinG : อะไรก็ทำได้หมดเลยนะครับ
minato : ไม่ใช่หรอกครับ (หัวเราะ)
Rib : ร้องด้วย เต้นด้วยเหมือนโซรารุซังไหมครับ
minato : ไม่เต้นครับ เต้นไม่เป็นครับ (หัวเราะ)
JimuinG : มีอะไรที่ชอบหรือติดมากๆ ไหมช่วงนี้
minato : อะไรที่ชอบเหรอ...
JimuinG : ทำอะไรบ้างครับวันๆ
minato : มีหลายคนบอกว่าไม่มีเวลาใช้ชีวิตเลย
JimuinG :  รู้สึกผิดที่ถามออกไปเลย
minato : ทำอะไรอยู่กันแน่นะ
minato : คงจะฮิคิโคโมริอยู่นะครับ
Soraru : ออกไปเที่ยวบ้างไหมครับ
minato : ไปครับ
ทุกคน : (ตกใจ) ดูไม่เหมือนพวกที่จะเล่นโบว์ลิ่งอะไรแบบนี้เลย
minato : ก็มี ไปคาราโอเกะบ้าง
ทุกคน : ไว้ไปด้วยกัน ไปเป็นคอรัส (หัวเราะ)
minato : ไปเที่ยวต่างจังหวัดก็มีนะ ช่วงนี้ก็เพิ่งไปคารุยซาว่ามา ผมก็ใช้ชีวิตมากกว่าที่ทุกคนคิดนะ (หัวเราะ)
หลังจากนั้นก็คุยๆ กันเรื่องความรู้สึกที่ได้ร่วมอัลบั้มค่ะ


เราแปลมาคร่าวๆ เท่านี้นะคะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านค่า
อ้อ ถ้าใครมีข่าวสารหรืออะไรเกี่ยวกับริบุซัง โยนมาให้เราแปลได้เสมอนะคะ เรายินดี
หรือจะมากรี๊ดด้วยกันก็ยินดีเสมอค่ะ ไม่ต้องกลัว คุณจะไม่ต้องแฟนเกินเพียงลำพังค่ะ 555
Read More

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557




รู้สึกเหมือนได้แปลบทสัมภาษณ์ริบุซังปีละครั้งเลย 55

คราวนี้กลับมาพร้อมกับวันแมนไลฟ์และอัลบั้มใหม่ที่จะวางแผงวันที่ 4.02.2015 นี้นะคะ

ใครสนใจก็เข้าไปดูรายละเอียดกันได้ที่นี่เลยค่า



- เมื่อไม่กี่วันมานี้ วันแมนไลฟ์ครั้งแรก 「Rib-on"e"」ก็ปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
            ตอนนี้รู้สึกโล่งอกครับ เรื่องการวางแผน ถึงแม้จะได้จิมุอินGซังมาเป็นตัวหลักช่วยแนะนำเรื่องต่างๆ ทุกครั้งที่นัดเจอกันก็มีแลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้าง ได้ออกไอเดียบ้าง แต่เรื่องพวกนี้ผมก็เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก เลยคิดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่มีค่าต่อผมมากเลยนะ


- คิดหนักไหมกับ set list
            กังวลจนเกือบจะถึงวันไลฟ์เลยครับ จริงๆ ก่อนวันแสดง 1 สัปดาห์ ยังเพิ่งเพลงใหม่ไปอีก 1 เพลงด้วย จนวินาทีสุดท้ายแล้วยังไงๆ ก็อยากได้เพลงนี้นะ ผมเลยบอกไปว่าอยากได้เพิ่มอีกเพลง นักดนตรีก็เลยเสนอให้เล่นเพลง Yobanashi Deceive ทั้งประชุม ทั้งวางแผน ก็ตัดสินใจกันตอนนั้นเลย เรียกได้ว่าที่ทำได้แบบนี้เพราะความสามารถของทุกคนในวงจริงๆ ครับ


- เพลงแรกเป็น Envy Cat Walk ด้วย สำหรับแฟนๆ ริบุซังแล้ว เป็นเพลงที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเลือกได้ถูกแล้ว
            ที่คิดว่าเพลงแรกน่าจะเป็น Envy ตัดสินใจไว้ตั้งแต่วางแผนจะจัดไลฟ์แล้วครับ จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มเติมรายละเอียดมาเรื่อยๆ สำหรับผมแล้วเพลงที่เป็นจุดเปลี่ยน ถึงจะมีหลายเพลง แต่ในจำนวนนั้น เพลงนี้เป็นเพลงที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับผม ทำให้หลายๆ คนรู้จักตัวผม ได้มีโอกาสแสดงไลฟ์ในที่ใหญ่โตแบบนี้ ยังไงก็เพราะ Envy นี่แหละครับ เพราะแบบนั้นเลยคิดว่า ถ้าได้ร้องเป็นเพลงแรกคงจะดีเลยเลือกมาครับ


- นึกถึงครั้งก่อนตอนร้อง Envy ที่ Zepp Namba ได้ยินมาว่าริบุซังลื่นล้มตั้งแต่ต้นเพลงเลย (หัวเราะ)
            ใช่ครับ (หัวเราะ) ครั้งนี้ตรงกลางเวทีมีบันไดด้วย ตอนเปิดตัวต้องขึ้นไปยืนบนนั้น ร้อง "เอ้า!" แล้วเดินลงบันไดมา ฝันร้ายตอนนั้นย้อนกลับมาเลยครับ ก่อนแสดงจริงรู้สึกไม่สบายใจเอามากๆ เลย (หัวเราะ)


- ได้เห็นการร่วมงามกันอันน่าประทับใจของริบุซังกับโวคาลอยด์ P ที่สนิทด้วย!
            ตั้งแต่ที่เริ่มคิดว่าจะทำวันแมนไลฟ์ ความคิดที่อยากให้มีโวคาลอยด์ P มาร่วมด้วยก็ลอยขึ้นมาเป็นอันดับแรกเลยครับ เพราะผมเคยได้ร่วมแสดงกับโวคาลอยด์ P ที่ ETA แล้วมันออกมาดีมาก ผมเลยคิดว่าถ้าได้แสดงให้ทุกคนเห็นในวันแมนด้วยก็คงจะดีนะ ครั้งนี้คนที่มาร่วมงานด้วยก็เป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือผมมาตลอด ทั้งมิกิโตะซังที่เคยแสดงใน ETA ด้วยกัน 40mP ที่สร้างผลงานไว้ในนิจิอิโระออเคสตร้า และนิชิซาวะซังที่ไม่เคยออกโชว์ตัวในไลฟ์ไหนมาก่อนเลย ตอนแรกเขาก็ลังเลอยู่ แต่ผมก็ตื้อจนไม่รู้ไปยังไงมายังไงมายืนบนเวทีด้วยกันได้


- ผลงานร่วมกับนิชิซาวะซังมีคุณค่าทางความรู้สึกมากใช่ไหม
            คิดถึงจริงๆ ครับ รู้จักกันมาเกือบ 4 ปี ถึงจะเคยไปช่วยงานที่บูธ Vomas แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้เห็นนิชิซาวะซังเล่นกีตาร์ใกล้ๆ แบบนี้ ตั้งแต่ตอนซ้อมก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วครับ แต่ผมไม่มีทางไปพูดเรื่องแบบนั้นกับเจ้าตัวเด็ดขาด (หัวเราะ) ตอนแสดงก็ยอดเยี่ยมมากครับ เลยคิดว่าเป็นคนที่สุดยอดมากๆ เลยครับ ไม่คิดว่าจะพยายามทำให้ผมขนาดนี้ ดีใจมากๆ ครับ


- หลังอังกอร์ อิโตคาชิทาโร่ซังก็ออกมาแสดงด้วย
            ตอนที่คิดว่าอยากร้อง Kami no manimani เป็นเพลงสุดท้ายกับคาชิทาโร่ซัง ก็เหมือนกับตอนที่คิดว่าอยากร้อง Envy เป็นเพลงแรกนั่นแหละครับ ผมคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พอได้ทำจริงก็รู้สึกดีมากๆ แต่ตอนแสดงจริงมีเหตุการณ์ที่ไม่ได้คุยกันไว้ก่อนเลยรู้สึก "เอ๊ะ!?" อยู่เหมือนกันครับ (หัวเราะ)




- จะว่าไปตอนวันแสดง ก่อนจะได้เข้าไปในสถานที่จริง มีการเตรียมตัวยังไงบ้าง
            วันจริงต้องตื่นเช้าไปทำผมที่ซาลอน ไปถึงประมาณ 8.30 น. ช่างทำผมก็ไดร์ผมให้ จัดทรงให้ แล้วก็เดินทางไปสถานที่แบบนั้นเลย อาหารกลางวันเป็น Taco Rice ที่จัดไว้ ส่วนอาหารเช้าผมกินอะไรไปแล้วนะ!? ปกติจะกินซีเรียลกับโยเกิร์ต แต่โยเกิร์ตหรือพวกผลิตภัณฑ์จากนมมักจะไปเคลือบอยู่ตรงคอเลยไม่ค่อยดีเท่าไร คงจะกินพวกขนมปังอะไรพวกนั้นไปนะครับ(หัวเราะ)


- หลังไลฟ์จบแล้วไปฉลองกันเป็นยังไงบ้าง
            แน่นอนว่าผมได้คุยกับเกสต์หลายๆ คนอยู่แล้ว แต่พวกเกสต์เองก็ด้วย อย่างนิชิซาวะซังเพิ่งเคยเจอจิมูอินGซังเป็นครั้งแรกก็คุยกันถูกคอเลย ผมมองดูแล้วก็รู้สึกดีใจเหมือนกันนะ แต่ผมมีบันทึกเสียงวันรุ่งขึ้น เลยดื่มเหล้าไปแก้วเดียว เพลาๆ ลงหน่อยน่ะครับ (หัวเราะ) 


- ระหว่างที่ดื่มด่ำกับความทรงจำจากไลฟ์ ก็เริ่มทำอัลบั้มใหม่ 「singing Rib」อย่างต่อเนื่อง เหตุผลที่เลือกใช้ชื่ออัลบั้มนี้คืออะไร
            ตรง singing มาจากชื่อบัญชีทวิตเตอร์กับอีเมล์ของผมที่ใช้มาตั้งแต่เริ่มครับ ตอนที่คิดว่าจะใช้ชื่ออัลบั้มว่าอะไรดี ยังไงแล้วสิ่งที่จะสื่อออกไปได้มากที่สุดก็ต้องแทนตัวผมที่ร้องเพลงอยู่นี่ แหละครับ สำหรับคำที่เรียบง่ายและแทนความหมายได้ก็น่าจะเป็น singing เลยเอาไปเป็นชื่ออัลบั้มทั้งแบบนั้นเลยครับ


- อธิบายคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มนี้ให้ฟังหน่อย
            จาก Rib on มาถึง Riboot  ผมคิดว่าถ้าสามารถสะสมจนครบ "Rib ซีรีส์" ได้ก็คงจะดี แล้วทุกๆอัลบั้มก็จะมีประโยคประจำ อย่างเช่น "Rib on Music!" หรือ "Music to Riboot!" อยู่ด้วย นอกจากนี้ยังหมายถึงตัวผมที่ร้องเพลงอยู่ในตอนนี้และจะร้องต่อไปเรื่อยๆ เลยอยากให้มันออกมามีความรู้สึกอบอุ่นและแสดงถึงตัวตนของผมได้ เป็นที่มาของการตั้งชื่ออัลบั้มว่า 「singing Rib」ครับ
            อัลบั้ม Riboot ออกแบบปกแนวไซเบอร์ เพลงในอัลบั้มก็ผสมผสานเสียงจักรกลเข้าไปด้วย ส่วนคราวนี้คอนเซ็ปต์เป็น "singing" แน่นอนว่าดนตรีก็ต่างออกไป "วิธีเปล่งเสียง" ก็จะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละเพลง ผมคิดว่าความไม่แน่นอนเหล่านี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของมนุษย์ ผมตั้งใจที่จะสื่อออกมาจากชื่ออัลบั้มอยู่แล้ว เพลงที่เลือกก็จะเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เช่น เพลงที่ใช้กีตาร์โปร่งเล่น หรือเพลงที่เคยทุ่มเททำเสียงกลองไว้ก็จะเอามาเล่นเป็นเสียงกลองจริง ด้วยสาเหตุนั้น ผมคิดว่าเพลง 2 เพลงที่ทำออกมาจะแตกต่างกันมากครับ


- จากรายชื่อนักแต่งเพลงเจ๋งๆ ที่เห็น ครั้งนี้ก็จะมีเพลงแต่งใหม่ด้วยเหรอ
            คราวนี้เป็น Ooishi Masayoshi ซัง นักร้องนำและกีตาร์วง Sound Schedule ครับ เหมือนๆ กันกับตอนอัลบั้ม Riboot ที่ผมไปขอฟุมิโดซังกับ BUMP OF CHICKEN มา ผมฟังเพลงวง Sound Schedule มาตั้งแต่ม.ปลายแล้ว โออิชิซังเองก็ดูเหมือนจะเข้า nico nico douga อยู่บ่อยๆ และดูเหมือนจะรู้ว่ามีอุไทเทะชื่อริบุมาก่อนแล้ว พอผมไปขอให้โออิชิซังมาช่วยทำเพลงให้ก็ตอบตกลงมา! ถึงจะยังอยู่ในขั้นเดโม่อยู่ แต่จะเป็นเพลงที่ออกแนวฟังกี้แบบ Kimi Ja Nakya Dame Mitai หรือใส่พวกเครื่องเป่าเข้าไปบ้าง เป็นเพลงแนวสนุกๆ ครับ


- ในเดโม่ก็มีเสียงโออิชิซังด้วยใช่ไหม
            ใช่ครับ! เสียงที่ผมเคยฟังตอนเรียนม.ปลายกำลังร้องเดโม่เพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อผมโดย เฉพาะ มันเหมือนกับผมร้องในฐานะที่เป็นเพลงของโออิชิซังเลยไม่ใช่เหรอ โออิชิซังร้องเพลงเก่งมากๆ ผมก็ต้องพยายามให้เต็มที่เหมือนกัน แต่ในความพยายามนั้น ผมคิดว่าถ้าได้แสดงอะไรดีๆ เฉพาะตัวออกมาให้ทุกคนได้ฟังแม้เพียงสักเล็กน้อยก็คงจะดีนะครับ


- โอคิอิ เรจิซังก็เป็นศิลปินที่เล็งไว้ด้วยเหรอ
            โอคิอิซังเป็นมือเบสและนักแต่งเพลงให้วง Cymbals ครับ ตอนสมัยม.ปลายเองก็ได้ฟังเพลงของวงนี้อยู่บ่อยๆ ถ้าพูดถึง Cymbals แล้ว ก็จะนึกถึงแนวเพลงชิบุย่า คลาสสิกๆ ครั้งนี้ผมเองก็ตั้งตารอคอยและจะพยายามร้องออกมาให้มีสไตล์ไม่แพ้นักร้องนำ โทคิ อาสาโกะซังเลยครับ (หัวเราะ)


- ครั้งนี้ได้ยินมาว่า buzzG ซังก็แต่งเพลงใหม่ให้ด้วย ทางนี้ก็ตั้งตารออยู่เหมือนกัน!
            เป็นครั้งแรกที่ buzzG ซังแต่งเพลงให้ครับ ตอนออกอัลบั้ม Riboot ผมก็ได้ร้องเพลง Shiwa ของ buzzG ซัง ตอนบันทึกเสียง buzzG ซังก็อุตส่าห์สละเวลามาช่วยชี้แนะด้วย ตอนนั้นได้คุยกันว่า "ถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกันอีกก็คงจะดีนะครับ" ครั้งนี้ก็เลยกลายเป็นความจริงขึ้นมา หลังจากอัลบั้ม Riboot วางขายแล้ว ได้มีโอกาสไปกินข้าวกับ buzzG ซัง มิกิโตะซัง และคนอื่นๆ ประมาณ 5 คนที่ไปคาราโอเกะกัน ได้ดื่มไปด้วย พูดคุยไปด้วย ทำให้นึกถึงช่วงเวลาดีๆ ตอนนั้นเลยครับ (หัวเราะ)

 


- เพลงใหม่ที่แต่งขึ้นคราวนี้เป็นแบบไหน
            เป็นเพลงที่ออกจะเศร้าๆ และมีเมโลดี้เพราะๆ ครับ เสียงกีตาร์ของ buzzG ซังจะหนักแน่นและมีเอกลักษณ์ทำให้สื่อออกมาได้อารมณ์มาก


- ตามติดมาจากอัลบั้มแรกและอัลบั้มที่สอง ครั้งนี้นิชิซาวะซังก็มาแต่งเพลงใหม่ให้ด้วยเหมือนกัน
            นิชิซาวะซังเป็นคนที่ไว้ใจได้เลยเรื่องการแต่งเพลง เขาเป็นโวคาลอยด์P ประเภทที่จะพิจารณาถึงความเป็นเอกลักษณ์ของอุไทเทะคนนั้นๆ หรือการใช้ชีวิตของแต่ละคน และแต่งเพลงออกมาให้เข้ากันได้ ผมเองก็รู้จักกับนิชิซาวะซังมานานแล้ว ตอนที่ได้เดโม่หรือเนื้อเพลงมาก็มีเรื่องให้ประหลาดใจอยู่บ่อยๆ "นิชิซาวะซังมองผมแบบนี้เองเหรอ" ไม่ก็ "อา..ผมก็เคยคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันนะ" มีเรื่องแบบนี้ให้ผมตกใจทุกครั้งเลยครับ


- เพลง Sentimental Reverse ครั้งนี้ เป็นธีมเรื่องราวแบบไหนเหรอ
            เพลงที่เคยฟังสมัยก่อน ถึงจะไม่ได้ฟังอีก แต่เมื่อกลับมาฟังอีกที ไม่ว่าจะ 5 ปี หรือ 10 ปีถัดจากนั้น ก็นึกถึงช่วงเวลานั้นออกมาได้เลยใช่ไหมละครับ อย่างผม สมัยม.ปลายชอบ BUMP OF CHICKEN เลยฟังบ่อยมาก แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วโอกาสได้ฟังก็น้อยลง แต่ช่วงนี้พอได้ยินได้เห็นอยู่ตามโทรทัศน์ ก็รู้สึกว่ายังไงๆ BUMP ก็ดีจริงๆ นะ นานๆ ครั้งก็หยิบอัลบั้มเก่าๆ มาฟังบ้าง เหมือนได้ฟังเรื่องราวของตัวเองตอนอยู่ม.ปลายขึ้นมาเลยนะครับ ไม่น่าเชื่อว่าดนตรีก็มีพลังแบบนั้นอยู่ด้วยเหมือนกันนะ ผมเคยทวีตเรื่องนี้ออกไปอยู่เหมือนกัน นิชิซาวะซังเห็นทวีตนั้นเลยเอาไปทำออกมาเป็นเพลง Sentimental Reverse เท่าที่เคยร่วมงานกันมา เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงช้าที่สุด แนวบัลลาดนิดๆ อารมณ์ love & peace เป็นเพลงที่ฟังแล้วอุ่นใจ ผมชอบมากเลยครับ


- เล่มนี้คนที่รับผิดชอบวาดหน้าปกให้เป็น Kuwahara Shouta ซัง แต่ก่อนเคยทำงานร่วมกันมาแล้วใช่ไหม
            เดิมอามัทสึกิคุงกับคาชิทาโร่ซังสนิทกับอาจารย์คุวาฮาระอยู่แล้ว ผมเลยได้รู้จักไปด้วย ก่อนหน้าวันเกิดผมประมาณ 1 สัปดาห์ คาชิทาโร่ซังอยู่ดีๆ ก็โผล่มาจากสถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ ถ่ายรูปผมแล้วก็กลับไป ก็คิดอยู่ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ จากนั้นคาชิทาโร่ซังก็เอารูปนั้นไปให้อาจารย์คุวาฮาระวาดเพื่อเป็นของขวัญ เซอร์ไพรส์วันเกิดผม! แล้วอาจารย์ก็เคยวาดภาพสวยๆ มาแสดงความยินดีกับอัลบั้ม Riboot ให้ผมในทวิตเตอร์ด้วยครับ เป็นเกียรติอย่างมากเลยครับ


- มีตัวเลือกให้เลือกตั้งหลายรูปแต่ริบุซังก็เลือกรูปนี้มาลงนิตยสาร เหตุผลที่เลือกรูปนี้คืออะไร
            เหตุผลง่ายๆ เลย มันเป็น first impression น่ะครับ เห็นแล้วคิดว่าเป็นรูปที่สวยดี แถมเป็นรูปเสื้อผ้าที่ผมใส่ตอนขึ้นแสดงบน Rib on"e" ด้วย ถ้าทำให้ทั้งคนที่มาและไม่ได้มาไลฟ์ได้สัมผัสถึงบรรยากาศไปด้วยกันได้ ผมก็คงจะดีใจมากครับ สำหรับคนที่มาไลฟ์คงจะพอรู้จักหน้าตาผมแล้ว แต่อาจารย์ก็ยังวาดออกมาได้น่ารักแบบนี้(หัวเราะ) อาจารย์คุวาฮาระ ขอบคุณมากครับ!!
Read More

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

จาก http://www.makinggameofthrones.com/production-diary/2014/6/3/pedro-pascal-explains-the-ecstasy-of-oberyn-martell

 

คุณรู้ชะตาของโอเบรินตั้งแต่เมื่อไร
          ผมทราบตั้งแต่แรกแล้ว มีรายละเอียดอยู่ในบทตัวละครตอนที่ผมออดิชั่น แต่ผมไม่รู้ว่าว่าเขาตายยังไง จนผมได้พบกับเดวิด เบนิออฟฟ์ (ผู้สร้างซีรีย์) และแดน ไวส์ ที่เบลฟาสต์ เขาเล่าถึงฉากบดขยี้หัวผมเป็น 3 ขั้นตอน ตอนแรกเริ่มจากฟัน หลังจากนั้นก็ลูกตา และสุดท้าย คือ หัวแตงโม ความคิดแรกของผม คือ "หวังว่าจะได้ขึ้นลำดับแรกๆ ของการตายสุดสยองใน Game of Thrones นะ" ซึ่งมันคงจะหมายถึงอะไรสักอย่าง


คุณเห็นฉากที่ถ่ายเสร็จแล้วหรือยัง
          ยังครับ แต่ผมเองก็จินตนาการไม่ออก (การสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นก่อนตอนที่ 8 ฉาย) ผมต้องดูพร้อมๆ กับทุกคน ผมเป็นห่วงครอบครัวผมมาก เป็นห่วงจริงๆ 


มันน่าสยดสยองอย่างที่เป็น แต่มันก็ดูสมจริงมากด้วย เขาได้ทำศีรษะปลอมขึ้นมาหรือเปล่า

         เขาสร้างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ช่วงไหล่ขึ้นไปและตกแต่งด้วยหนวดเครา และเติมสีหน้าเกรี้ยวกราดลงไป

 

คุณเห็นมันหรือยัง

            ครับ! มีคนเห็นผมยืนจ้องหัวตัวเองในกองถ่าย พวกเราไม่เคยมีโอกาสได้เห็นตัวเองแบบสามมิติ และมันดูแปลกออกไปมาก บางทีผมคงหลงตัวเองหน่อยๆ หรือแค่หลงใหลที่ได้เห็นตัวเองแบบ 360 องศา ผมรู้สึกเหมือนกันว่า "ให้ตายเหอะ ผมหน้าตาเหมือนพ่อมากเลย"

 

คุณฝึกการใช้หอกนานแค่ไหน

          HBO และ Game of Thrones ให้ผมไปฝึกวิชากับผู้เชี่ยวชาญวูซู ศิลปะการต่อสู้ประเภทหนึ่ง จะฝึกกันจริงๆ ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ผมเรียนแค่ 2-3 สัปดาห์ อาจารย์ฮูจึงสอนผมได้แค่พื้นฐาน

 

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดในการฝึก

          ทุกอย่างครับ โดยเฉพาะการใช้หอกที่สูงกว่าผมฟุตหนึ่งได้ มันมีท่าหนึ่งที่หมุนหอกให้เหมือนกับใบพัดเฮลิคอปเตอร์ที่ผมอยากทำให้ได้ ผมเลยไปซื้อราวผ้าม่านจากร้านขายของมาฝึกที่อพาร์ทเมนท์ เพราะผมอายเกินกว่าที่จะไปฝึกข้างนอก

 

ตอนถ่ายทำฉากต่อสู้เป็นยังไงบ้าง ช่วยอธิบายการตัดสินใจของโอเบรินหน่อยได้ไหม

            มันท้าทายมากครับ เพราะต้องใช้ความสามารถทางกายที่เหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกัน แต่โอเบรินเองก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ สองสิ่งนี้เลยผสมกันได้อย่างลงตัว

            ผมได้คุยกับลีน่า เฮดี้ (คนแสดงเซอร์ซี แลนนิสเตอร์) ในกองถ่าย โอเบรินอยากได้ยิน the Mountain สารภาพ แม้สุดท้ายแล้วมันจะจบไม่สวยเท่าไร แต่เขาก็ได้ฟังคำสารภาพในที่สุด การโยนตัวเองไปสู่จุดจบของเขาเป็นความสำเร็จแบบหวานปนขม มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ

 

ในตอนที่แล้ว โอเบรินเขียนจดหมายถึงลูกสาว คุณเคยจินตนาการถึงชีวิตของเขาที่ดอร์นบ้างไหม

          ผมว่าเขาเป็นคนทันสมัย มีการพัฒนา และเป็นพ่อที่ดี ผมว่าก็ดีแล้วที่เขาไม่มีอะไรประเด็นอื่นให้เห็น นอกจากเรื่องลูกสาว เขาไม่ใช่คนหัวโบราณ เพราะฉะนั้นบรรดาลูกสาวของเขาก็เลยไม่ถูกจำกัดด้วยความคิดล้าสมัยของคนยุคก่อน

 

เขาเป็นคนฉลาด

            ผมว่ามันมีความลึกซึ้งในการมองโลกของโอเบรินและวิธีที่เขาใช้ชีวิต ผมว่าโอเบรินมีความเป็นผู้หญิงอยู่มาก ซึ่งส่งผลให้เขามีพลัง

 

ช่วยขยายความส่วนที่พูดว่า "มีความเป็นผู้หญิงอยู่มาก" ให้ฟังหน่อยได้ไหม

          การรับรู้ ความฉลาด ในโลกของ Game of Thrones สามารถสะท้อนความดำมืดในโลกความจริงบางอย่างได้ ผมพยายามจะบอกว่า ผู้หญิงถูกผลักดันให้มีความฉลาดมากขึ้นและเข้าใจตัวเองมากขึ้น เพราะทุกอย่างรอบตัวถูกกำหนดโดยผู้ชาย ทักษะการเอาตัวรอดของผู้หญิงเลยทำงานได้ดีกว่า

 

คุณหมายความว่าโอเบรินสนับสนุนสิทธิสตรีเหรอ

            แน่นอน โดยไม่ต้องเลือกที่จะเป็นด้วย มันเป็นความรู้สึกภายในและสอดคล้องกับความคิดของเขา เอลลาเรีย แซนด์เป็นคนรักของเขา เพราะเธอเป็นอีกส่วนหนึ่งของเขา ไม่ใช่อยู่เหนือกว่า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเป็นชายที่น่าเกรงขาม เพราะเขารู้ว่าใครจะช่วยผลักดันให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้

 

คุณอยากให้แฟนๆ จดจำโอเบรินในรูปแบบไหน

            ผมอยากให้ทุกคนจดจำโอเบรินในฐานะนักรักและนักสู้ ในแบบตัวละครที่นำพาความสนุกและสิ่งใหม่ๆ ให้กับคิงส์แลนดิง และมากวนน้ำให้ขุ่น 

 

แฟนๆ คงจะช้ำใจกันน่าดู

            ผมก็เหมือนกัน อย่างที่เคยรู้สึกมาตลอด

 

อยากเห็นการแก้แค้นให้กับความตายของโอเบรินไหม

          แน่นอนที่สุด

 

ถ้าคุณถูกตัดสินคดี ความผิดของคุณคืออะไร

          โอเบรินคงจะทำเรื่องบ้าบิ่นหน่อย เขาคงไปนอนกับภรรยาของกษัตริย์หรือสามีของราชินีมา

 

คุณได้รับเชิญไปงานแต่งงาน GOT คุณจะตกลงหรือปฏเสธ

          ผมตอบตกลงทุกโอกาสที่สามารถไปกับเอลลาเรียได้ เพราะในงานแต่งย่อมมีโอกาสที่จะได้หาความสนุกอย่างว่า

 

เดอะฮาวน์บอกว่าเขาอยากจะไปบราวอสต่อ แล้วคุณอยากเริ่มชีวิตใหม่ของคุณยังไง

            ผมคงอยู่แถวๆ คิงส์แลนดิงเนี่ยแหละ มีซ่องดีๆ ที่มีห้องเห็นวิวทะเลตั้งเยอะแยะ

 

คุณจะตั้งชื่อดาบของคุณว่าอะไร

            Sammy the Sand Snake

Read More

จาก http://www.vulture.com/2014/04/pedro-pascal-oberyn-red-viper-bisexuality-interview.html

            โอเบริน (แสดงโดย เพโดร ปาสคาล) ปรากฏตัวครั้งแรกที่ซ่องของลิตเติ้ลฟิงเกอร์ในภาคล่าสุดของ Game of Thrones แต่ดังที่พวกเรารู้กันจากรอบปฐมทัศน์ของภาคที่ 4 นี้ เขาไม่ได้มาคิงส์แลนดิงเพื่อแสวงหาความสุข เขามาเพื่อแก้แค้นให้แก่ความตายของน้องสาวที่ถูกกระทำอย่างต่ำทรามโดยทหารรับใช้ของตระกูลแลนนิสเตอร์ เกรเกอร์ คลีเกน "นักรบภูผา" ซึ่งเป็นพล็อตสำคัญของซีซั่นนี้

 

โอเบรินเป็นตัวละครโปรดของหลายคนที่อ่านหนังสือ คุณทราบความนิยมของเขามาก่อนที่จะได้รับบทไหม

            ผมไม่เคยอ่านหนังสือแต่เป็นแฟนซีรีย์นี้ และผมก็ไม่ใช่คนที่จะคาดหวังกับปฏิกิริยาของผู้ชมมากเท่าไร ผมมักจะคิดว่า ถ้าทุกคนคาดหวังในตัวละครของผมหรือเขาเป็นคนที่ทุกคนชื่นชอบมากจริงๆ ตอนประกาศชื่อนักแสดง ผู้ชมอาจจะเบือนหน้าหนีหรือหมุนหัวกลับไป 180 องศาเหมือนในหนังเรื่อง The Exorcist เลยก็ได้ (หัวเราะ) บางคนอาจรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะพวกเขาไม่รู้จักผม ผมเลยคาดว่าคงจะมีแบบนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ผมก็พยายามเลี่ยงที่จะคิดแบบนั้น เพราะผมมีงานที่ต้องทำและอยากทำให้ดีที่สุดเพื่อเติมเต็มความคาดหวังของผู้ชมต่อการปรากฏตัวของโอเบริน และมันก็สำคัญมากที่จะทำให้แฟนๆ พึงพอใจนะ คุณรู้หรือเปล่า

 

ในซีรีย์ได้ขยายความเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกกล่าวถึงในนิยายของจอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างเรนลีและลอรัส หรือที่เราเห็นกันตอนนี้ คือ ตัวละครของคุณเป็นไบเซ็กชวล

            Red viper สนุกกับชีวิตของเขา เขาไม่เคยแบ่งแยกเรื่องความปรารถนา นี่เป็นวิถีที่เขาเข้าใจชีวิต นั่นก็คือ การใช้ชีวิตให้ถึงที่สุด การจำกัดตัวเองในการเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเขา อะไรที่งดงามก็คืองดงาม และผมชอบที่จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ตินสร้างตัวละครที่มีการพัฒนาและมีความสวยงามแบบนี้ออกมา เขาเป็นทั้งนักรักและนักรบ เขาทำทุกๆ สิ่งอย่างเต็มที่ แล้วทำไมถึงต้องเลือกระหว่างเพศหญิงกับเพศชายด้วยล่ะ คุณรู้นะว่าผมหมายถึงอะไร นั่นคือเหตุผลที่ทำไมตัวละครที่จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ตินสร้าง และเดวิดกับแดนแสดงออกมาให้เห็นในหน้าจอโทรทัศน์ถึงได้ออกมางดงามนัก เขาก็แค่เหมือนพวกพังก์ร็อคจัดจ้านเท่านั้นเอง มันไร้สาระที่จะจำกัดความสุขของตัวเอง ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แต่มันก็เป็นตามนั้นจริงๆ ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะไวน์หรืออาหาร ผู้ชายหรือผู้หญิง หรือแม้แต่การเป็นพ่อคน นักรัก หรือนักรบ ใช้ชีวิตให้ถึงที่สุดเสมอ ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฉลาดมาก เป็นสิ่งที่เรื่องราวได้ค่อยๆ สื่อผ่านออกมา พวกเขาพยายามที่จะใช้โอกาสในการส่งข้อความเหล่านี้ให้แก่ทุกคน

 

Game of Thrones ทะลายทุกกรอบด้วยฉากเซ็กส์ แต่ดูเหมือนพวกเรากำลังดำเนินไปสู่ฉากใหญ่ยิ่งกว่า ด้วยฉากที่โอเบรินและคนรักของเขากำลังเลือกสรรบรรดาสาวๆ

          นั่นเป็นฉากแรกที่เป็นแบบหมู่เหรอ ไม่สิ เดี๋ยวก่อน จะเป็นไปได้ยังไงกัน!  ไม่ใช่ว่าบรอนน์ก็มีฉากแบบนี้ไปแล้วเหรอ ก็ใช่ เขาเคยควบสองมาก่อน แต่ถ้าคุณพูดถึงเซ็กส์หมู่แบบหลากเพศ งั้นนี่คงเป็นฉากแรกจริงๆ ตอนถ่ายฉากนั้นพวกเราหัวเราะกันตลอด เราทุกคนพยายามสนุกกับมันเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้ามีใครสักคนรู้สึกอึดอัด ความรู้สึกนั้นจะถูกปัดเป่าออกไปด้วยความเร่าร้อนของทุกคน ไม่มีใครตัวคนเดียวในนี้ มันเป็นเรื่องน่ายินดีนะครับ ผมชอบครับ

 

สำหรับฉากนู้ดต่อๆ ไป คุณโชว์หมดเลยหรือเปล่า เพราะมีหลายเสียงที่เรียกร้องให้มีฉากเปลือยของผู้ชายมากขึ้น

            ไม่มีใครบอกให้ผมปกปิดอะไรเลยนะ ผมเต็มที่เลย ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ Game of Thrones ทำให้คุณผิดหวังกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง พวกเขาให้อาหารสายตากับทุกฝ่าย ผมยืนยันได้เลย

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้นักแสดงหลายคนรู้สึกกดดัน...

            เพราะผมเป็นคนเริ่มให้อาหารสายตาแก่ผู้ชายงั้นเหรอ จริงๆ มันก็กดดันอยู่นะ ไม่รู้สิ ผมไม่เคยคิดแบบนั้นมาก่อนเลย แต่ตอนนี้เริ่มคิดแล้ว (หัวเราะ)

 

และตอนนี้คุณก็เป็นที่ต้องการของทั้งผู้ชายและผู้หญิง

          หวังว่าอย่างนั้นนะ ผมว่ามันเป็นเรื่องดี ตอนนี้ผมแค่หวังว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เพราะนั่นเป็นสิ่งที่โอเบรินควรจะเป็น 

 

แล้วก็มีฉากที่คนรักของคุณพูดว่า "ฉันเป็นลูกนอกสมรส ส่วนเธอเป็นโสเภณี"

          ใช่! เหมือนกับว่า อย่ามาพูดไม่เป็นเรื่องน่า ตัดเข้าเรื่องเลยดีกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่โอเบรินก็ทำเหมือนกัน เขาไปที่นั่นและไม่ยอมเสียเวลาเปล่า "นี่คือเหตุผลที่ฉันมาที่นี่ นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ และ...ฉันกำลังจะสนุกกับมัน"

 

แม้แต่ที่งานแต่งงานของแลนนิสเตอร์น่ะเหรอ

          แค้นที่ผมจะมาชำระไม่ได้เกี่ยวกับจอฟฟรีย์ เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่ธุระของผม แต่ผมไม่มีทางคบหากับคนแบบนั้นแน่ (หัวเราะ)

Read More